ตอบกระทู้
[ตำรา] ตำนานสายใยแห่งบุปผา
เว็บมาสเตอร์

โรลเพลย์ทีเอช

ชุดตัวละคร
เครื่องรางเผ่าพันธุ์
สมบัติล้ำค่า
#1
ตำนานสายใยแห่งบุปผา

เพราะความโลภไม่มีที่สิ้นสุด การแย่งชิงอำนาจภายในฝูงจึงเกิดขึ้น เหล่ามนุษย์หมาป่าที่มีความกระหายต่างฆ่าฟันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจของผู้นำฝูงคนเก่าที่แสนซื่อสัตย์ สถานการณ์เต็มไปด้วยความรุนแรง และการโกหกหลอกลวง จนในที่สุดทุกอย่างก็พังพินาศ ทิ้งไว้เพียงเศษซากของความสูญเสีย 

แมดเดน อารอน มนุษย์หมาป่าเด็ก ลูกชายเพียงคนเดียวของผู้นำฝูงต้องหลบหนีอย่างหัวซุกหัวซุน ในขณะที่พ่อและแม่พยายามถ่วงเวลาให้อย่างสุดชีวิต “อย่าไว้ใจใครเด็ดขาด” ความคิดฝังลึกลงไปในใจ พร้อมกับความกลัวที่พุ่งจนสุดขีด อายุเพียงสิบปีแต่ต้องเอาชีวิตรอดท่ามกลางป่าลึกสุดแสนอันตราย

ท่ามกลางค่ำคืนอันหนาวเหน็บ หลังจากหลบหนีการไล่ล่ามาร่วมครึ่งเดือน มนุษย์หมาป่าน้อยมาไกลมากพอที่จะหลุดพ้นเงื้อมมือเหล่าหมาป่าทรยศได้แล้ว แต่ร่างกายของเขากลับไม่สามารถฝืนไปได้ไกลกว่านี้ ‘นี่เรากำลังจะตายแล้วงั้นหรือ’ ความคิดสุดท้ายแล่นเข้ามาก่อนที่สติจะดับวูบไป



ร่างเล็กนอนซุกในผ้าห่มนุ่มอย่างลืมตัว ก่อนที่ร่างจะเด้งขึ้นมาแยกเขี้ยวเมื่อได้สติ ภาพตรงหน้าคือห้องนอนขนาดเล็กสะอาดตา กลิ่นหอมหวานของน้ำผึ้งลอยตามลมมาจนทำเอาน้ำลายสอ “ตื่นแล้วหรือ เจ้าหนู” ชายหนุ่มผิวขาวซีด ร่างกายผอมบางเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับแก้วนมอุ่น ถึงแม้จะหิวมากแค่ไหน แมดเดนก็ไม่ได้ลดความระแวดระวังลงแม้แต่น้อย เขาถอยตัวไปชิดที่มุมห้อง พร้อมกับแยกเขี้ยวส่งเสียงขู่อย่างไม่หยุดหย่อน ชายหนุ่มคนนั้นยกมือข้างหนึ่งขึ้นปราม
 
“เจ้าเป็นใคร!?” เขี้ยวขาวสะท้อนแสงจากตะเกียง มีเวลามากพอที่จะทำให้แมดเดนสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นถือแก้วนมไว้ในมือ “เซนต์ยูเชอร์ เบลีย์ นั่นคือชื่อของข้า ดื่มนี่ซะสิ” เมื่อแนะนำตัวเสร็จแล้ว ชายลึกลับก็วางแก้วนมทิ้งไว้ตรงโต๊ะใกล้เตียงแล้วเดินออกจากห้องไป มนุษย์หมาป่าน้อยค่อย ๆ คลายความระวังลงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายออกไปได้ครู่หนึ่งแล้ว
 
“ร- ร้อน!” เพราะหิวมากจึงยกนมดื่มด้วยความรีบ ทำเอาลิ้นถูกลวกด้วยความร้อน

เวลาผ่านไปหลายวัน แมดเดน อารอนถูกดูแลโดยแวมไพร์ราวกับลูกคนหนึ่ง แต่ด้วยความคิดที่ฝังอยู่ในจิตสำนึก ทำให้เขาพยายามหลบหนีออกไปอยู่ตัวคนเดียวหลายครั้งหลายหน ทว่าก็เกือบเอาตัวไม่รอดจนยูเชอร์ต้องมาช่วยกลับไปเสียทุกครั้ง

“ไม่ต้องมายุ่งกับข้า”

“ข้าไม่อาจทิ้งเด็กตัวเล็ก ๆ ไว้เพียงลำพัง”

“ข้าไม่ใช่เด็ก และไม่ว่าจะสิ่งมีชีวิตหน้าไหนก็เชื่อใจไม่ได้ทั้งนั้น”

“แต่ข้าไม่มีชีวิต”

“. . .”

แมดเดนมักสรรหาคำพูดมาต่อต้านอยู่เสมอ แต่ทางยูเชอร์ก็ไม่เคยโกรธ และมิอาจปล่อยให้เขาไปเผชิญกับโลกภายนอกตามลำพังได้ เวลาผ่านไปจากวัน เป็นสัปดาห์ และเป็นเดือน แม้ยูเชอร์จะพยายามพูดคุยด้วยเท่าไร แมดเดนก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดใจให้เขา แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้หนีออกไปบ่อยเท่าช่วงแรกแล้ว

“ข้าเคยทำสวนนี้ร่วมกันกับภรรยาเมื่อตอนยังเป็นมนุษย์” เจ้าของผิวขาวซีดเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง ในขณะที่เด็กน้อยกำลังล่าสัตว์ตัวจ้อยอยู่กลางพงหญ้า

“ข้าไม่ได้ถาม”

“การมีชีวิตเป็นอมตะแบบนี้ก็น่าเศร้าไม่ใช่น้อย ข้าไม่เคยได้ดื่มเลือดจึงไม่อาจต้านทานแสงตะวันได้” แม้เด็กน้อยจะปฏิเสธยูเชอร์ก็ยังคงเล่าเรื่องราวของเขาต่อไป

เนื่องด้วยชีวิตอันยาวนาน ทำให้เขามีเรื่องเล่ามากมายมาพูดอยู่เสมอ บางเรื่องแมดเดนก็สนใจไม่ใช่น้อย แต่แน่นอนว่าเขาไม่ค่อยยอมแสดงมันออกมามากนัก จนกาลเวลาผ่านไปปีเศษ มนุษย์หมาป่าดูโตขึ้นมาก ส่วนความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ยังดูเหมือนพ่อลูกที่ไม่ถูกกันอยู่เหมือนเดิม อีกอย่างที่เปลี่ยนไปคือแมดเดนเลิกต่อล้อต่อเถียงแล้ว แต่นั่นทำให้ยูเชอร์รู้สึกเศร้าหมองอยู่บ้าง

กระทั่งคืนหนึ่ง เป็นคืนที่ช่างเงียบสงบ สงบเกินไปราวกลับว่าเป็นค่ำคืนก่อนหน้าที่จะมีพายุใหญ่โถมเข้าใส่ เตียงในห้องนอนเล็กว่างเปล่า ไร้วี่แววของแมดเดน แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน แม้กระทั่งแวมไพร์เจ้าของบ้าน



เสียงคำรามของหมาป่าดังขึ้นเป็นระยะรับกับเสียงต่อสู้ นี่คือช่วงเวลาของการล้างแค้น แมดเดนวางแผนและพยายามฝึกฝนตัวเองอยู่ตลอดเพื่อการนี้ เขาแข็งแกร่งขึ้นมาก และแข็งแกร่งกว่าหมาป่าวัยเดียวกัน แต่ถึงอย่างไรเด็กก็ยังเป็นเด็ก ไม่อาจรับมือมนุษย์หมาป่าโตเต็มวัยหลายตัวขนาดนี้ได้ เขาถูกต้อนให้จนมุมทีละน้อย ขณะเดียวพระจันทร์ก็คล้อยลงหลังหุบเขา และไม่นานพระอาทิตย์ก็ลอยขึ้นสู่ผืนฟ้าคราม

ช่วงเวลาที่กรงเล็บแหลมคมถูกฟาดฟันลงมาที่คอนั้นดูเหมือนทุกอย่างจะช้าลงไปชั่วขณะ ภาพของพ่อและแม่ปรากฏเลือนรางในหัวของเขา และค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น ตามด้วยภาพแวมไพร์ผิวขาวซีดที่มักจะยิ้มให้อยู่เสมอ ‘สุดท้ายข้าก็หนีไม่พ้นความตายสินะ’

“พวกแกบังอาจมาทำแบบนี้กับลูกชายข้า!!” เสียงแข็งกร้าวสะเทือนไปทั่ว ร่างของแวมไพร์ที่บัดนี้โกรธจัดจนทำให้พลังของเขาเพิ่มพูนอย่างมาก ร่างนั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เร็วยิ่งกว่าเลือดของศัตรูที่สาดกระเซ็นไล่หลังมา กลุ่มหมาป่ากลายเป็นร่างไร้วิญญาณในเวลาเพียงชั่วครู่

เมื่อพลังถูกปลดปล่อยออกไปจนหมดแล้ว ร่างของยูเชอร์ก็ไม่อาจต้านทานต่อสิ่งใดได้อีก เขาล้มลงไปนอนกองกับพื้นพร้อมผิวหนังที่เริ่มถูกเผาไหม้กลายเป็นละอองเถ้า

“ยูเชอร์!” แมดเดนใช้แรงเฮือกสุดท้ายตะเกียกตะกายไปยังร่างที่อยู่ไม่ไกล หยาดน้ำใสไหลรินออกมาจากดวงตาจนท่วมใบหน้า

“อย่า - ร้อง” มือซีดยกขึ้นปาดน้ำตาออกให้ ใบหน้ายังคงพยายามยิ้มออกมาให้เหมือนทุกทีที่ผ่านมา ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือนี่เป็นครั้งสุดท้าย

“ท่านมาที่นี่ทำไม ท่าน ท ท่านก็รู้ว่าท่าน” เสียงพูดขาดหายไปกับเสียงสะอื้น กว่าจะทันได้รู้ตัวแมดเดนก็ถูกความอ่อนโยนของพ่อคนนี้แทรกซึมเข้าไปในกำแพงหนานั่นเสียแล้ว ในขณะเดียวกันหยดเลือดจากตัวเขาก็หยดลงไปที่รอยยิ้มกว้างนั่น ผิวหนังที่ไหม้กลับค่อย ๆ ฟื้นฟูขึ้นมาเล็กน้อย หมาป่าเด็กตกใจกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลง และดูเหมือนจะหาทางช่วยเหลือคนตรงหน้าได้แล้ว

เขาหยิบกริชที่ตกอยู่ใกล้ตัวมากรีดลงไปที่แขนเล็กนั่นอย่างเร็ว และกรอกเลือดสีแดงฉานให้ยูเชอร์ดื่มอย่างไม่ห่วงชีวิตของตน ผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่งดูเหมือนร่างซีดขาวนั่นจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมก่อนหน้าจะถูกแดดแผดเผาแล้ว

“ค่อยยังชั่–”


ร่างของแมดเดนล้มลงเพราะความโล่งใจ และเพราะการเสียเลือดมากเกินไป

“ตื่นแล้วหรือ เจ้าหนู” ประโยคอันแสนคุ้นเคยทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงวันแรกที่เจอกัน แต่ครั้งนี้ไม่ได้มีความหวาดกลัวเหมือนครั้งนั้นแล้ว “อื้ม ข้าตื่นแล้ว”

ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว สวนหลังบ้านก็ถูกดูแลโดยแมดเดน ที่บัดนี้ยอมรับการเป็นลูกชายของยูเชอร์ ทำให้เต็มไปด้วยดอกไม้และผีเสื้อหลายชนิด ยูเชอร์ตัดสินใจไม่ดื่มเลือดอีก โชคดีที่เขาเคยพยายามคุมตัวเองมาแล้วหนหนึ่ง จึงไม่ยากเท่าไหร่นัก ทั้งคู่เปิดใจเข้าหากัน และมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นมาก แม้จะไม่ได้เป็นเผ่าพันธ์ุเดียวกันก็ตาม

ระยะเวลาผ่านมาหลายสิบปี สวนแห่งเดิมก็ยังคงได้รับการดูแลอย่างดีมาตลอด จนแมดเดน อารอน ในฐานะของต้นตระกูลอารอน หมาป่าผู้รักในความยุติธรรมได้ลาจากโลกใบนี้ไป ร่างของเขาถูกฝังเอาไว้ที่สุสานเล็ก ๆ ตรงมุมของสวน พร้อมกับโลงศพที่มีป้ายชื่อเขียนไว้ว่า เซนต์ ยูเชอร์ เบลีย์ ที่ตัดสินใจนอนละทางโลกนอนจำศีลอยู่ข้างลูกชายของเขา ทุกวันนี้สวนแห่งนั้นยังตั้งอยู่ในป่าลึกและมีคนของตระกูลอารอนคอยแวะเวียนไปดูแลอยู่เป็นประจำ อาทิ เซดริก อารอน


เกร็ดความรู้เกี่ยวกับเทศกาล
  • มีไว้เพื่อเฉลิมฉลองการเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอย่างเป็นทางการ
  • เมื่อถึงวันเทศกาลแล้ว ชาวเงือกจะทำสปริงบอล และส่งให้ลอยขึ้นมาเหนือทะเลสาบ
  • ผลึกที่อยู่ในสปริงบอลมีผลทำให้ดอกไม้สามารถบานตอนกลางคืนได้ และยังมีละอองแสงวิบวับลอยออกมาด้วย
    (ทำให้แวมไพร์ที่ไม่สามารถต้องแสงตะวัน สามารถออกมาชมสวนดอกไม้ได้)
  • วันแรกของเทศกาลจะมีขบวนพาเหรดรอบเมือง
  • ภายในสวนจะมีการจัดงานแสดงดนตรีในสวนทุกวัน
  • ในช่วงนี้จะมีปรากฏการณ์กำเนิดแห่งแมริโพซา ทำให้มีผีเสื้อบินภายในเมืองมากกว่าปกติ



ผู้ที่กำลังดูกระทู้นี้:
2 ผู้เยี่ยมชม

Forum software by © MyBB Theme © Crux Zehntner 2022