ตอบกระทู้
[ตำรา] ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านเอลิเชียน
เว็บมาสเตอร์

โรลเพลย์ทีเอช

ชุดตัวละคร
เครื่องรางเผ่าพันธุ์
สมบัติล้ำค่า
#1
ตำราแห่งเอลิเชียน
ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านเอลิเชียน




     ในยุคแรกเริ่มนั้น เผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ไม่ได้ปรองดองอย่างที่ทุกคนเห็นได้จากหมู่บ้านเอลิเชียนเลยแม้แต่น้อย ในอดีตมักจะเกิดการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างเผ่าพันธุ์อยู่บ่อยครั้ง และเหตุการณ์ลักษณะนี้ก็เกิดขึ้นในหลายสถานที่ หลายประเทศทั่วโลก จนในที่สุดความไม่ลงรอยกันดังกล่าวก็นำมาสู่การเกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างเผ่าพันธุ์ หรือที่เรียกกันว่า สงครามระหว่างเผ่าพันธุ์

     ในปีค.ศ. 1306 แวมไพร์และมนุษย์หมาป่านั้นก่อสงครามขนาดย่อยกันมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษ ความไม่ลงรอยนี้ก่อตัวขึ้นจากหลายที่ เนื่องจากทั้งสองเผ่าพันธุ์มีพลังกายภาพและความเร็วที่เทียบเคียงกัน จึงมักจะมีปากเสียงกันอยู่บ่อยครั้งเรื่องอาณาเขตที่ดินที่ปกครอง นานวันเข้าทั้งสองเผ่าพันธุ์นั้นจึงกล่าวได้ว่าเป็นผู้ริเริ่มสงครามขึ้นมาก่อนเป็นสองเผ่าพันธุ์แรก โดยฝั่งมนุษย์หมาป่ามีผู้นำที่ชื่อว่า แอตติคัส บาสเตียน เอลป์ หมาป่าชนชั้นอัลฟ่าที่เป็นจ่าฝูงซึ่งมีนิสัยหัวรุนแรง เผด็จการ บ้าอำนาจและไม่กลัวใคร เป็นผู้เริ่มนำฝูงเอลป์บุกเมืองในอาณาเขตของแวมไพร์ที่เป็นหนึ่งในการปกครองของ วินเซนต์ ในคืนพระจันทร์เต็มดวงคืนหนึ่ง การโจมตีครั้งใหญ่นี้ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายนับพันคน นั่นรวมไปถึงเผ่ามนุษย์ผู้บริสุทธิ์ด้วยเช่นเดียวกัน ภายในเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้นได้กำเนิดมนุษย์หมาป่าและแวมไพร์เกิดใหม่จำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นในเมืองดังกล่าว และความวุ่นวายนี้สังเวยด้วยชีวิตของมนุษย์ที่ยิ่งนับวันก็ยิ่งมากขึ้น

     ต่อมาในปีค.ศ. 1334 กลุ่มมนุษย์ที่ถูกฆ่าตายอย่างไม่มีทางสู้ก็ได้จัดตั้งหน่วยอัศวินขึ้นมาสำหรับต่อกรกับอมนุษย์ทั้งสองเผ่าพันธุ์ แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีพลังกายหรือความเร็วอะไรที่เป็นพิเศษเหมือนอย่างแวมไพร์และมนุษย์หมาป่า ทว่าพวกเขามีมันสมองและสองมือที่สามารถคิดนอกกรอบและสร้างอาวุธใหม่ ๆ สำหรับต่อกรกับทั้งสองเผ่าพันธุ์ขึ้นมาได้โดยมีความช่วยเหลือจากเผ่าแม่มดเป็นผู้ร่ายมนตร์คาถาและทำพิธีปลุกเสกอาวุธวิเศษให้เพื่อใช้สังหารทั้งสองเผ่าพันธุ์โดยเฉพาะ และหากนับกันที่จำนวนประชากรและกำลังพลแล้ว เผ่ามนุษย์นั้นมีจำนวนมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด สงครามได้ยืดเยื้อและยังไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้น เผ่ามนุษย์ที่นับวันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ก็ได้เข้าร่วมสงครามนี้อย่างเต็มตัวโดยมีตระกูลฮาร์ฟีเซลเป็นผู้นำ

     สงครามที่เริ่มร้อนแรงขึ้นทุกชั่วขณะได้ส่งผลให้เผ่าพ่อมดแม่มดซึ่งแต่เดิมนั้นเพียงให้ความช่วยเหลือเผ่ามนุษย์แลกกับค่าตอบแทนที่สูงลิ่วตกเป็นเป้าหมายของแวมไพร์และมนุษย์หมาป่าไปด้วย ในปีค.ศ. 1379 เหล่าพ่อมดและแม่มดจำนวนนับไม่ถ้วนได้ถูกมนุษย์หมาป่าและแวมไพร์ไล่ล่าสังหารเพื่อตัดกำลังของกองทัพอัศวินของเหล่ามนุษย์เพื่อไม่ให้ผลิตอาวุธปลุกเสกขึ้นมาอีก ความขัดแย้งที่มาถึงตัวส่งผลให้เผ่าพันธุ์พ่อมดแม่มดจะต้องเข้าร่วมสงครามด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในช่วงยุคแรกเริ่มนี้มีคำกล่าวเอาไว้ว่า ในเผ่าพันธุ์ผู้วิเศษ ได้มีมหาจอมเวทอุบัติขึ้นและกลายเป็นผู้นำของเหล่าพ่อมดแม่มดในเวลาต่อมา และเขามีนามว่า เมอร์ลิน

     ความเดือดร้อนจากสงครามแรกเริ่มนั้นได้ขยายตัวออกไปเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จากแรกเริ่มที่เป็นเพียงสงครามชิงพื้นที่ปกครองระหว่างสองเผ่าพันธุ์ แต่เมื่อกาลเวลาผันเปลี่ยนไปอีกหนึ่งศตวรรษจนเข้าปีค.ศ. 1438 พื้นที่ที่เกิดสงครามจึงไม่ได้หยุดอยู่แค่ในตัวเมืองอีกต่อไป ป่าเขารอบด้านของจุดกึ่งกลางของสงครามได้ถูกบุกรุกจนส่งผลให้มีแฟรี่ล้มตายเป็นจำนวนมาก และแวมไพร์ส่วนหนึ่งเองก็ออกไล่ล่าแฟรี่เพื่อดื่มเลือดเพราะเลือดของแฟรี่นั้นมีสรรพคุณช่วยให้เผ่าพันธุ์แวมไพร์สามารถเดินกลางแสงแดดได้ ในขณะที่มนุษย์หมาป่าและมนุษย์นั้นก็ออกไล่ล่าสังหารแฟรี่เพื่อไม่ให้แวมไพร์สามารถทำศึกในยามกลางวันได้ เผ่าพันธุ์พ่อมดแม่มดเองก็ต้องการผงและเลือดของแฟรี่สำหรับการปรุงน้ำยาและสร้างเครื่องรางอุปกรณ์เวทมนตร์ต่าง ๆ จึงกลายเป็นว่าแทบจะเกิดการไล่ล่าเผ่าพันธุ์แฟรี่จากทุกพื้นที่เนื่องจากความวิเศษจากธรรมชาติของพวกเขา หลังจากนั้นเผ่าแฟรี่จึงได้จัดตั้งกองกำลังของตัวเองขึ้นมาโดยมีผู้นำชื่อว่า ลิเลีย สิ่งมีชีวิตเก่าแก่ที่สุดและทรงพลังอำนาจมากที่สุดแห่งผืนป่า และได้ก้าวเข้าสู่สงครามเพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์ของตนเองและตอบโต้กลับอย่างเต็มตัว บางตำราได้กล่าวว่าในช่วงสงครามนั้นมีสัตว์ประหลาดและสัตว์วิเศษในตำนานมากมายที่ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสนามรบภายใต้การชี้นำอันยิ่งใหญ่ของลิเลียอีกด้วย

     และในความเป็นธรรมชาติอันเก่าแก่ที่มีอยู่มาอย่างยาวนานนั้น ในปีค.ศ. 1473 เผ่าพันธุ์แฟรี่ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเผ่าพันธุ์เงือกมาโดยตลอดก็ได้รับความช่วยเหลือจากชาวเงือกด้วยเช่นเดียวกัน ชาวเงือกมักจะใช้พลังวิเศษของพวกเขาที่มีพลังในการรักษาอันสูงส่งเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดและรักษาให้ประชากรเผ่าพันธุ์แฟรี่อยู่เป็นนิจ แต่นั่นก็เป็นจุดที่นำมาซึ่งความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงเมื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ค้นพบว่าน้ำตาของชาวเงือกนั้นมีค่ายิ่งกว่ายาใด ๆ ในโลกนี้ ราวกับเป็นยาวิเศษรักษาทุกความเจ็บไข้ได้ป่วย ด้วยความโลภนี้เองจึงทำให้เกิดการล่าและจับตัวชาวเงือกทุกหนแห่งเพื่อกักขังและทรมานให้พวกเขาหลั่งน้ำตาที่มีพลังในการรักษาออกมาให้กับพวกตน บ้างก็นำมาใช้ในการรักษาผู้บาดเจ็บจากสงคราม บ้างก็ถูกขายต่อในราคาสูงลิ่วและส่งต่อไปยังผู้มีอำนาจในอาณาจักรต่าง ๆ ที่อยากได้มาครอบครอง นอกจากนี้เผ่าพันธุ์พ่อมดแม่มดเองก็ต้องการน้ำตาของชาวเงือกเพื่อนำไปใช้ในการปรุงยานี้ด้วยเช่นเดียวกัน ในบันทึกได้กล่าวเอาไว้ว่าราคาของน้ำตานางเงือกเพียงหนึ่งหยดนั้นมีค่าเทียบเท่ากับการจ่ายทองนับพันหีบเพื่อซื้อเมืองใหญ่เมืองหนึ่งเลยทีเดียว จนในที่สุดชาวเงือกก็จำเป็นที่จะต้องปกป้องตนเองภายใต้การนำทัพของ คาลิปโซ ผู้นำชาวเงือกที่มีพลังมหาศาล บันทึกที่เกี่ยวข้องกับเงือกสาวผู้นี้นั้นมีเพียงไม่กี่บรรทัดเท่านั้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่และยังมาจากปากของชาวมนุษย์คนหนึ่งที่เหลือรอดมาจากการฆ่าล้างและโต้กลับของชาวเงือก ทว่าหลังจากนั้นเขากลับสติไม่ค่อยดีนักและยังคลุ้มคลั่งพึมพำด้วยประโยคเดิมซ้ำ ๆ โดยกล่าวเอาไว้ว่า "พวกปลามันบ้าไปแล้ว! ชาวเงือกบ้าไปแล้ว! หายไปหมดเลย... ทั้งเมืองไม่มีใครเหลือเลย... มีแต่น้ำ มีแต่น้ำ-- มันกินไปหมดแล้ว!"

     เวลาของสงครามครั้งใหญ่ได้ล่วงเลยมาจนถึงปีค.ศ.ที่ 1559 ภายในฝูงเอลป์ของเผ่ามนุษย์หมาป่านั้นเกิดความขัดแย้งภายในขึ้น ผู้นำอย่างแอตติคัสที่มีความหัวรุนแรงและบ้าอำนาจ เผด็จการนั้นส่งผลให้มีสมาชิกฝูงจำนวนหนึ่งที่ไม่พอใจกับการก่อสงครามในครั้งนี้มาตั้งแต่ต้นและได้แยกตัวออกไปก่อตั้งฝูงใหม่ที่มีอัลฟ่าคนใหม่คือ มาลาไค เฟอร์นาลิซ ซึ่งในภายหลังหรือก็คือในปีค.ศ.ดังกล่าวนี้ ภายใต้การล้มหายตายจากไปของสมาชิกฝูงก็ได้มีมนุษย์หมาป่าหลายคนที่ออกจากฝูงของแอตติคัสไปรวมกับฝูงของมาลาไคที่รักสันติมากขึ้น จนสุดท้ายแล้วฝูงเอลป์ที่แอตติคัสเป็นจ่าฝูงก็ถูกเผ่าพันธุ์อื่นกลืนกินและไล่ฆ่าจนไม่เหลือสมาชิกฝูงเลยแม้แต่คนเดียว แต่แม้ว่าฝูงของมาลาไคนั้นจะเป็นฝูงที่ไม่ค่อยฝักใฝ่ในสงครามก็ตาม แต่การที่สงครามนั้นเกิดมาจากเผ่าพันธุ์ของตัวเองนั้นก็เป็นความจริงที่เขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ และมันได้นำพาความโกรธแค้นให้พัดพามาถึงฝูงของพวกเขาจนต้องสานต่อสงครามดังกล่าวและปกป้องเผ่าพันธุ์ของตัวเองต่อไปอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

     ต่อมาในปีค.ศ. 1616 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในเผ่าพันธุ์พ่อมดแม่มดเมื่อพวกเขานั้นถูกล่าโดยมนุษย์ หลักฐานนั้นได้ปรากฏเด่นชัดว่าพ่อมดแม่มดจำนวนนับไม่ถ้วนถูกล่าสังหารจากเผ่าพันธุ์ที่ตนเองได้เคยให้ความช่วยเหลือมาก่อน โดยยุคนี้ได้ถูกเรียกขานในภายหลังว่า 'ยุคล่าอาณานิคมแม่มด' และด้วยการศึกทั้งโดยรวมและเผ่าพันธุ์ ไม่มีใครทราบว่าผู้นำคนเก่าของเหล่าผู้วิเศษนั้นหายตัวไปที่ใด หรืออาจจะไม่มีมาตั้งแต่ต้นแล้วก็ได้เพราะชื่อของเมอร์ลินนั้นเป็นเพียงตำนานที่ไม่มีหลักฐานมายืนยันได้อย่างแน่ชัดว่าเขามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นเพื่อเหลือทางรอดให้กับเผ่าพันธุ์ผู้วิเศษเหล่านี้ จากการหนีการไล่ล่าและหลีกภัยสงครามที่ยังไม่สิ้นสุด ได้ปรากฏชายผู้หนึ่งที่มีนามว่า โบรเดริค ฟลอเซนไทน์ ผู้ซึ่งเป็นพ่อมดพเนจรที่รวบรวมและช่วยเหลือเหล่าพ่อมดแม่มดจนสามารถตั้งเป็นกลุ่มใหญ่ได้อีกครั้ง ภายใต้การชี้นำและพลังอันยิ่งใหญ่ของเขาจึงทำให้เผ่าพันธุ์ผู้วิเศษนี้สามารถลุกขึ้นได้อีกครั้ง และยังคงเหลือรอดและต่อสู้อยู่ในสงครามต่อไป

    จนกระทั่งในปีค.ศ. 1784 เผ่าแวมไพร์ที่เหลือประชากรน้อยเต็มทีได้มาถึงจุดที่เกือบจะทำให้เผ่าพันธุ์อยู่รอดต่อไปไม่ได้ เผ่าพันธุ์ของพวกเขาไม่เพียงแต่ต้องทำสงครามกับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ แต่ก็ยังต้องต่อสู้กับความอันตรายจากธรรมชาติอย่างแสงแดดในยามกลางวันที่พวกเขาไม่อาจจะทำได้แม้แต่ลุกขึ้นยืน จนในที่สุดวินเซนต์ก็ได้วางแผนสละชีพเพื่อเผ่าพันธุ์ออกมาโดยที่ตัวเขานั้นจะนำกลุ่มแวมไพร์กลุ่มหนึ่งล่อกองทัพของเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ให้ตามไป และส่งมอบช่วงต่อให้ เมลวีเนียส วีด้า คลาร์ก และ เซเวียร์ คาร์ธไฮเซอร์ ที่เขานั้นเป็นผู้สร้างของทั้งสองคนให้เป็นผู้ดูแลเผ่าพันธุ์แห่งรัตติกาลต่อไปและรับหน้าที่ในสงครามต่อ ในท้ายที่สุดแล้วกลุ่มที่แยกตัวออกไปของวินเซนต์ก็ถูกกองทัพของเผ่าพันธุ์อื่นฆ่าล้างบางไปจนไม่เหลือแม้แต่ฝุ่นผง ส่วนตัวของเมลวีเนียสและเซเวียร์ที่ขึ้นเป็นผู้นำของเผ่าพันธุ์แวมไพร์ก็ได้แบ่งกลุ่มแวมไพร์ที่เหลืออยู่เป็นสองกลุ่มสุดท้ายในสงคราม แยกกันกระจายตัวออกไปเพิ่มประชากรแวมไพร์ขึ้นมาใหม่อีกครั้งจนเผ่าพันธุ์ของพวกเขาได้รับการฟื้นฟูขึ้นมา

     ในปีค.ศ.ที่ 1850 ทุกเผ่าพันธุ์ที่เหนื่อยล้าจากการสงครามที่กินระยะเวลายาวนานมามากกว่า 5 ศตวรรษจึงได้มีความคิดที่จะร่างสัญญาสงบศึกขึ้นมา โดยผู้ที่เป็นแกนนำในเรื่องนี้นั้นก็คือ อาร์เธอร์ โทมัส ฮาร์ฟีเซล ผู้นำอัศวินของเหล่ามนุษย์ในเวลานั้น โดยที่ชายหนุ่มได้แบ่งกำลังพลทั้งหมดที่มีอยู่ขึ้นหลังม้าให้เท่ากับจำนวนของเผ่าพันธุ์ที่เข้าร่วมสงครามพร้อมกับผืนธงสีขาวนับร้อยผืนเพื่อโบกไปทั่วสงครามเพื่อประกาศถึงการยอมแพ้ และการถอนตัวออกจากสงคราม ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้มีแค่เผ่ามนุษย์เท่านั้นที่มีแนวคิดอยากจะสงบศึก ต่อมาในเวลาที่ไล่เลี่ยกันก็ได้มีอีกหนึ่งเผ่าพันธุ์ที่โบกสะบัดธงสีขาวไปทั่วสมรภูมิรบเพื่อยอมจำนนเช่นเดียวกัน เผ่าพันธุ์นั้นก็คือมนุษย์หมาป่าที่นำโดยมาลาไคผู้ซึ่งฝักใฝ่ความสงบเป็นทุนเดิม จนเมื่อมีถึงสองเผ่าพันธุ์ที่สละตัวออกจากการรบราฆ่าฟันนี้ไปแล้ว ในที่สุดไฟสงครามที่ลุกโชนมามากกว่า 5 ศตวรรษก็ค่อย ๆ ดับมอดลงท่ามกลางความสูญเสียต่อทุกฝ่ายอย่างมหาศาล

     ในปีเดียวกันนี้เอง ทุกเผ่าพันธุ์ได้ส่งตัวแทนมาพบปะกันท่ามกลางทุ่งโล่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสนามรบมาก่อน เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามแรกเริ่มที่แต่เดิมเคยมีเมืองตั้งอยู่ทว่าบัดนี้ได้เหลือแต่เพียงพื้นดินเปล่า ๆ อันเจิ่งนองไปด้วยคราบเลือดและมีแต่รังสีอาฆาตแค้น ไร้ชีวิตใดที่จะสามารถมาตั้งรกรากอาศัยอยู่ได้แม้ว่ามันจะผ่านไปอีกนับพันปีก็ตาม ตัวแทนของทุกเผ่าพันธุ์ที่มีบันทึกชื่อไว้บนหน้าประวัติศาสตร์มีดังนี้
  • ตัวแทนเผ่าพันธุ์มนุษย์ อาร์เธอร์ โทมัส ฮาร์ฟีเซล
  • ตัวแทนเผ่าพันธุ์พ่อมดแม่มด โบรเดริค ฟลอเซนไทน์ 
  • ตัวแทนเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่า มาลาไค เฟอร์นาลิซ
  • ตัวแทนเผ่าพันธุ์แวมไพร์ เมลวีเนียส วีด้า คลาร์ก
  • ตัวแทนเผ่าพันธุ์แฟรี่ ลิเลีย
  • ตัวแทนเผ่าพันธุ์เงือก คาลิปโซ
     บุคคลทั้งหกคนเหล่านี้คือผู้ที่เป็นตัวแทนและผู้นำของเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ที่มาร่วมกันลงนามใน 'สัญญาสงบศึกชั่วนิรันดร์' โดยที่ในสัญญาได้ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่าห้ามมิให้เผ่าพันธุ์ใด ๆ ก็ตามก่อสงครามขึ้นมาอีกครั้ง หากมีผู้ใดจากเผ่าพันธุ์ใดก็ตามที่ทำผิดสัญญาฉบับนี้ อีกห้าเผ่าพันธุ์ที่เหลือจะต้องร่วมกันทำลายเผ่าพันธุ์นั้น ๆ ออกไปทันทีเพื่อป้องกันมิให้เกิดความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้ง และทุกเผ่าพันธุ์จะต้องร่วมกันสร้างสถานที่อันเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่ต้อนรับคนจากทุกเผ่าพันธุ์ร่วมกันภายใต้นาม 'สภาแห่งเอเดียน' โดยในสัญญาฉบับดังกล่าวได้ลงนามด้วยเลือดของตัวแทนของทุกเผ่าพันธุ์ที่สลักเอาไว้เป็นรายชื่อ และตัวใบกระดาษสัญญาสงบศึกเองก็ถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีการพิเศษที่สุดที่ไม่สามารถทำลายได้ ทว่าวิธีการสร้างนั้นกลับมีแต่เพียงสมาชิกแห่งสภาเอเดียนเท่านั้นที่รับรู้ ซึ่งในปัจจุบัน นอกจากพวกเขาแล้วก็ไม่มีใครทราบว่าตัวสัญญานั้นถูกเก็บซ่อนเอาไว้ที่ใดและสร้างขึ้นมาอย่างไร รวมไปถึงสถานที่เซ็นสัญญาเองก็ถูกซ่อนเอาไว้ด้วยวิธีการบางอย่างด้วยเช่นเดียวกัน

     เหล่าผู้นำของทุกเผ่าพันธุ์ในเวลานั้นได้เห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกันหลังเสร็จสิ้นการทำสัญญาว่า พวกเขาควรที่จะลบตัวตนของพวกเขาออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ ยกเว้นแต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีประชากรมากที่สุดเท่านั้น ดังนั้นเหล่าพ่อมดและแม่มดจึงร่วมกันสร้างวงเวทและพิธีกรรมขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยที่ในวงเวทนั้นประกอบไปด้วยเลือดของแวมไพร์จำนวน 33,333 ตน น้ำตานางเงือก 33,333 หยด ผงปีกของแฟรี่จำนวน 33,333 ตน ชิ้นส่วนของสัตว์อัญเชิญเวทมนตร์ 33,333 ตัว ขนของมนุษย์หมาป่า 33,333 ตน โดยที่มีมนุษย์ยืนอยู่ในวงเวทนั้นเป็นจำนวน 3,333,333 คน และใช้ 'หยดเลือดของราชาปีศาจ 4 หยด' ลงบนวงเวทในขั้นตอนสุดท้าย ทั้งหมดนี้เพื่อประกอบพิธีกรรม 'ลบความทรงจำหมู่' ของคนทุกคนบนโลกใบนี้ให้ตัวตนของเผ่าพันธุ์เหนือธรรมชาติอื่น ๆ นั้นหายไปจากความทรงจำของพวกเขา เมื่อพิธีกรรมดังกล่าวที่กินเวลาร่วมสามเดือนเสร็จสิ้น ผู้นำของทุกเผ่าพันธุ์จึงได้เสาะหาพื้นที่ใหม่เพื่ออยู่ร่วมกันอีกครั้ง และในที่สุด หมู่บ้านเอลิเชียน (Elysian) ก็ได้ก่อตั้งขึ้นมานับตั้งแต่นั้น



ผู้ที่กำลังดูกระทู้นี้:
1 ผู้เยี่ยมชม

Forum software by © MyBB Theme © Crux Zehntner 2022